
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์มักจะพบว่า มนุษย์ในยุคก่อนนิยมนำเอาหินรัตนชาติและแร่ต่างๆ นำมาทำเป็นอาวุธคู่กายบ้าง นำมาทำเป็นเครื่องประดับบ้าง หรือแม้แต่จะนำมาทำเป็นเครื่องราง โดยให้อยุ่ในรูปของเครื่องประดับ เพื่อสะดวกในการพกพาไปยังสถานที่ต่างๆด้วย
กระทั่งผู้เป็นเจ้าของสิ้นชีวิตลง บรรดาเครื่องรางและเครื่องประดับเหล่านั้นก็ยังถูกนำลงฝังอยู่เคียงคู่กันกับผู้เป็นเจ้าของมันด้วยตามความเชื่อ และได้พิจารณาจากหลักฐานที่ขุดพบได้ ไม่ว่าจะเป็นกำไรเงิน กำไรทอง และเครื่องประดับที่ทำจากสัมฤทธิ์ และหินแกะสลัก หรือพลอยหลากสี ซึ่งนอนหลับไหลพร้อมร่างเจ้าขอฃมาเป็นเวลานานแสนนานนี้ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า บรรพบุรุษของเรามีความผูกพันกับหินรัตนชาติและแร่ธาตุต่างๆมาก่อนแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุแห่งความสวยงาม หรือเนื่องจากความเชื่อก็ตามที

วิวัฒนาการความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมวลมนุษย์ชาติได้นำเอาโลกแห่งวัตถุเข้ามา ทำให้โลกแห่งจิตวิญญาณได้เลือนหายไปอย่างช้าๆ หินรัตนชาติและแร่ธาตุต่างๆจึงมีความหมายเพียงแค่เครื่องประดับและเครื่องบ่งบอกฐานะของบุคคล ถูกตีราคาเป็นมูลค่าเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นไปเพื่อการสะสม บทบาทในแง่ของการพิทักปกป้อง อำนาจที่เคยเชื่อว่าเสริมสร้างพลังใจและพลังกายที่มีมาแต่ครั้งอดีตจึงถูกลบเลือนไป และแล้วเมื่อจิตวิญญาณของมนุษย์ตกต่ำลงเพราะขาดการเอาใจใส่มานานวัตถุที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นนั้นไม่สามมารถถมความรู้สึกโหยหาภายในจิตใจที่ขาดพลังได้แล้ว ยังเป็นตัวการที่ทำทำให้เกิดความทุกข์ทั้งใจและกาย อันเนื่องมาจากการเสียภาวะสมดุลภายใน ไม่ว่าจะเป็นทางใจหรือกายก็ตาม
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์จะหวนกลับมาหาจิตวิญญาณที่บรรพบุรุษได้ค้นพบและสั่งสมความรู้มานาน กระแสการตื่นตัวในครั้งนี้จึงไม่ใช่การค้นพบครั้งใหม่ หากแต่เป็นการศึกษารากเหง้าเดิม ๆ ของบรรพบุรุษเพื่อสนองตอบสิ่งที่จิตใจและร่างกายโหยหานั่นเอง